โดยเริ่มแรกนั้น Blockchain ก็คือสมุดบัญชีที่ทำรายการบันทึกต่างๆ ของสกุลเงิน “bitcoin” นั่นเอง แต่Blockchainนั้นจะมีความพิเศษอยู่ คือ จะเป็นสมุดบัญทึกที่ไม่สามารถแก้ไขรายกายต่างๆได้สามารถเขียนบันทึกได้แค่ในหน้ากระดาษต่อไปเท่านั้นหรือถ้าจะทำการแก้ไขก็สามารถทำได้ยาก สมุดบันทึกนั้นจะเชื่อมโยนกันเป็นลำดับหลายๆ เล่ม อธิบายคือจะเป็นสมุดบันทึกเล่มที่ 1 เล่มที่ 2 เล่มที่ 3 ต่อๆ กันไปนั่นเอง และส่วนสำคัญอีกอย่างก็คือสมุดบันทึกนี้จะทำการบันทึกลงในระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คโดยไม่มีใครเป็นเจ้าของของข้อมูลและข้อมูลแต่ละชุดก็จะเชื่อมต่อกันนั้นเอง
Blockchain ไม่ได้เป็นแค่สมุดบันทึกเพื่อลงข้อมูลของ bitcoin
โดยสมุดบันทึกแต่ละเล่มจะออกแบบเป็น 3 ส่วน โดยแต่ละส่วนจะทำการบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกันไป โดยส่วนที่ 1 นั้นจะทำการบันทึกเกี่ยวกับรายการรับและรายการส่ง “Bitcoin” คล้ายๆ สมุดเงินฝากนั่นเอง ส่วนที่ 2 จะเป็นการบันทึก “Hash” โดย “Hash” จะเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะทำให้ชุดข้อมูลกลายเป็นชุดตัวอักษรเปรียบได้กับลายนิ้วมือของข้อมูลนั้นเองซึ่ง “Hash” นั้นจะเกิดขึ้นพร้อมกับสมุดบันทึกและถ้าข้อมูลในสมุดบันทึกนั้นๆ มีการเปลี่ยนแปลง “Hash” นั้นก็จะเปลี่ยนแปลงตามได้ด้วย และส่วนที่ 3 จะบันทึก “Hash” ของเล่มก่อนหน้าเชื่อมโยงต่อๆ กับไป เช่น ในเล่มที่ 1 มี “Hash” เป็น 01A ในเล่มที่ 2 ก็จะบันทึก “Hash” ของเล่มที่ 1 ด้วยนั่นเอง
ในปัจจุบันนั้น “Blockchain” ไม่ได้เป็นแค่สมุดบันทึกเพื่อลงข้อมูลของ “bitcoin” แล้วยังมีการนำไปพัฒนามากขึ้นในด้านต่างๆ มากขึ้นทั้งในด้านธนาคารยังมีการนำระบบ “Blockchain” นั้นช่วยในหนังสือค้ำประกันของลูกค้าทำให้สามารถลดระยะเวลาขั้นตอนดำเนินงานต่างๆ ไปได้อย่างมาก หรือแม้แต่ในโรงพยาบาลเองก็นำมาประยุกต์ใช้ในข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยที่จะสามารถกระจายข้อมูลของผู้ป่วยไปให้โรงพยาบาลอื่นๆ ที่ต้องการข้อมูลชุดนี้ของผู้ป่วยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นนั่นเอง
สามารถกดติดตาม ข่าวไอที 2020 และข่าวสารเทคโนโลยีใหม่ ๆ เทคโนโลยียานยนต์ ในอนาคตที่ตอนนี้สามารถทำได้จริง และนำมาใช้งานได้ในวันข้างหน้า
ถ้าหากว่างหลังจากศึกษาข้อมูลข่าวไอทีแล้ว แอดยังมีสิ่งดี ๆ มาแนะนำ บาคาร่าฟรี ไว้เล่นแบบเพลิน ๆ
